น้ำมะเขือเทศ เครื่องดื่มมาแรงของคนรักสุขภาพ


กระแสการดื่มน้ำมะเขือเทศมาแรงไม่น้อยเลยค่ะ ด้วยสรรพคุณของมะเขือเทศผลสีแดงสด ที่หลายคนรู้กันอยู่แล้วว่ามีสารอาหารสำคัญ ๆ มากมาย โดยเฉพาะข้อมูลที่บอกต่อกันว่าทานมะเขือเทศแล้วผิวสวยใส เลยยิ่งทำให้คุณผู้หญิงดื่มน้ำมะเขือเทศกันเป็นประจำ แต่จะบอกให้ว่า มะเขือเทศมีดีกว่าแค่เรื่องการบำรุงผิว

มะเขือเทศให้สารอาหารอะไร มีอะไรอยู่ในมะเขือเทศ ?

ในมะเขือเทศผลกลม ๆ สีแดงสด มีสารอาหารอยู่มากมายทีเดียวค่ะ ลองมาดูข้อมูลทางโภชนาการของมะเขือเทศ 100 กรัม ตามที่เว็บไซต์ usda.gov ของกระทรวงเกษตรฯ สหรัฐฯ ระบุไว้กันก่อน

          *  พลังงาน 18 กิโลแคลอรี

          *  น้ำ 94.34 กรัม

          *  โปรตีน 0.95 กรัม

          *  ไขมัน 0.11 กรัม
          *  คาร์โบไฮเดรต 4.01 กรัม




 

          *  ไฟเบอร์ 0.7 กรัม

          *  น้ำตาล 2.49 กรัม

          *  แคลเซียม 11 มิลลิกรัม

          *  ธาตุเหล็ก 0.68 มิลลิกรัม

          *  แมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม

          *  ฟอสฟอรัส 28 มิลลิกรัม

          *  โพแทสเซียม 218 มิลลิกรัม

          *  โซเดียม 11 มิลลิกรัม

          *  สังกะสี 0.14 มิลลิกรัม

          *  วิตามินซี 22.8 มิลลิกรัม

          *  โฟเลต 13 µg

          *  วิตามิน เอ 489 IU

          *  วิตามิน อี 0.56 มิลลิกรัม

          *  วิตามิน เค 2.6 µg

          *  ลูทีนและซีแซนทีน 123 µg

นอกจากนี้ยังมีเบต้าแคโรทีน ไลโคปีน วิตามินอีกหลายชนิด ซึ่งที่เราอยากจะแนะนำให้รู้จักต่อไปก็คือ "ไลโคปีน"

ประโยชน์ของมะเขือเทศ สรรพคุณมหัศจรรย์จาก "ไลโคปีน"

 

พระเอกของมะเขือเทศลูกกลม ๆ ก็คือ "ไลโคปีน" (lycopene) นี่เองค่ะ ซึ่งสารไลโคปีนเป็นสารอีกตัวในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบในผักผลไม้ที่มีสีส้มสีแดง อย่างเช่น แตงโม มะละกอ แครอท ฟักข้าว เกรปฟรุต ถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ชั้นยอด โดยจากข้อมูลของ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ในมะเขือเทศสด 100 กรัม จะมีปริมาณไลโคปีนประมาณ 0.9–9.30 มิลลิกรัม

ซึ่งไลโคปีนและวิตามินแร่ธาตุอื่น ๆ ในมะเขือเทศ มีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพแทบจะทุกส่วนของร่างกาย โดยมีงานวิจัยมากมายให้คำยืนยันถึงสรรพคุณชั้นเลิศของพืชสีแดงชนิดนี้ อย่างเช่น

          +  ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ข้อนี้ถือเป็นสรรพคุณเด่นมากของพืชสีแดงชนิดนี้เลย

          +  ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ เพราะมะเขือเทศมีไฟเบอร์และน้ำมาก จึงช่วยดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นไปอย่างปกติ

          +  ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน

          +  ชะลอความแก่ ริ้วรอยแห่งวัย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

          +  บำรุงผิวพรรณให้สดใส ชุ่มชื้น

          +  ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลไม่ดีที่อยู่ในผนังหลอดเลือด จึงลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

          +  บำรุงสายตา เพราะมีวิตามิน เอ สูง

          + มีวิตามินซีสูง ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ไม่ให้เป็นหวัดง่าย

          +  ควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด

          +  เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน เพราะมีวิตามินเคสูง

          +  ช่วยลดอาการบวมน้ำในร่างกาย เพราะมะเขือเทศจะช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์และเนื้อเยื่อ

          +  ช่วยทำความสะอาดคอเลสเตอรอลไม่ดีที่อยู่ในผนังหลอดเลือด ลดคอเลสเตอรอลไม่ดีในกระแสเลือด

          +  ทานเป็นประจำทุกวันช่วยลดความเครียดได้

          +  บำรุงผมให้เงางาม แข็งแรง ดูมีสุขภาพดี

          +  ช่วยขับปัสสาวะ

มะเขือเทศ ควรกินแบบสุกหรือดิบ ?

หลายคนยึดติดกับความเชื่อที่ว่าต้องทานผักแบบสด ๆ เพราะถ้าทานผักที่ผ่านความร้อนแล้ว ผักนั้นจะสูญเสียสารอาหารสำคัญไปเกือบหมด แต่เรื่องนี้ใช้ไม่ได้กับมะเขือเทศนะคะ เพราะถ้าอยากรับประโยชน์จากมะเขือเทศให้มากที่สุดต้องทานแบบที่ผ่านการปรุงสุกมาแล้ว เนื่องจากมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลงทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า

นอกจากนี้ ไลโคปีนเป็นสารอาหารที่ละลายได้ดีในไขมัน ดังนั้น ถ้าใช้น้ำมันปรุงมะเขือเทศด้วย จะยิ่งทำให้ร่างกายดึงไลโคปีนไปใช้ได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำให้ "ผู้หญิง" ทานมะเขือเทศสดด้วย เพราะมะเขือเทศสดมีวิตามินซีสูง และมีใยอาหาร ทำให้ผิวพรรณดี ส่วน "ผู้ชาย" ควรทานแบบสุก เพื่อให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนที่จะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก

 

ส่วนที่มีบางคนสงสัยว่า การกินมะเขือเทศดิบจะมีโทษอะไรบ้างหรือไม่ เรื่องนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนค่ะ เพียงแต่ว่านักโภชนาการมักแนะนำให้รับประทานมะเขือเทศสุกหากต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไลโคปีนอย่างเต็มที่ เพราะความร้อนจะทำให้ไลโคปีนอยู่ในสภาพที่ร่างกายพร้อมถูกดูดซึมได้ทันที ถึงแม้ว่าการให้ความร้อนอาจลดปริมาณวิตามินซีลงไปบ้าง แต่คุณค่าส่วนอื่น ๆ ก็ยังดีกว่าอาหารอีกหลายชนิด

ดื่มน้ำมะเขือเทศตอนไหนดี ถึงได้ประโยชน์ ?

อย่างที่บอกไปแล้วว่า การจะทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์ต้องทานแบบสุก แต่สำหรับคนที่อยากดื่มน้ำมะเขือเทศล่ะ จะได้รับประโยชน์กับเขาด้วยหรือไม่ อ.แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการบำบัดและผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ ก็มีคำแนะนำมาบอกว่า การจะดื่มน้ำมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ทำได้ 2 แบบคือ

          -  ดื่มก่อนอาหาร คือตอนท้องว่าง โดยหยดน้ำมันลงในน้ำมะเขือเทศเพื่อช่วยในการดูดซึมของร่างกาย

          -  ดื่มหลังอาหาร หลังจากทานอาหารก็สามารถดื่มน้ำมะเขือเทศตามได้ทันที โดยไขมันในอาหารที่กินเข้าไปจะช่วยในการดูดซึมไลโคปีนได้ดีมากขึ้น

ใครดื่มน้ำมะเขือเทศได้-ไม่ได้ ?

อย่างที่เห็นว่ามะเขือเทศ 1 ผล ให้พลังงานน้อยมาก และมีน้ำตาลน้อยอยู่แล้ว หากนำมาคั้นแล้วไม่เติมน้ำตาลลงไป คนอ้วน หรือคนที่อยากลดน้ำหนักก็สามารถดื่มได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวอ้วนเลย ส่วนคนป่วยโรคเบาหวานก็สามารถดื่มได้เช่นกัน

แต่ที่ต้องระวังคือ ผู้ป่วย "โรคไต" เพราะข้อมูลโภชนาการเห็นแล้วว่า มะเขือเทศมี "โพแทสเซียม" สูงมาก จึงไม่เหมาะกับคนป่วยโรคไต หรือผู้ที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง เพราะร่างกายอาจขับโพแทสเซียมออกไม่หมด

นอกจากนี้ คนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ไม่ควรทานมะเขือเทศมากเกินไป เพราะมะเขือเทศมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งถ้าทานมากอาจทำให้เกิดอาการได้

น้ำมะเขือเทศดื่มแค่ไหนดี ? มากไป อันตรายไหม ?

อาหารทุกชนิดถ้าทานมากเกินไปก็เป็นอันตรายได้ไม่ต่างจากน้ำมะเขือเทศ ที่ถ้าดื่มมากเกินไปก็ต้องระวังว่าร่างกายจะได้รับวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้กลายเป็นโรคนิ่วได้

นอกจากนี้ มะเขือเทศมีโพแทสเซียมสูงมาก อ.แววตา จึงแนะนำว่าในคนปกติควรดื่มน้ำมะเขือเทศไม่เกิน 2 แก้ว หรือ 2 กล่องต่อวัน เพราะเป็นปริมาณที่ร่างกายจะสามารถขับโพแทสเซียมออกมาได้หมด

อย่างไรก็ตาม ใครที่ชอบดื่มน้ำมะเขือเทศแบบกล่อง ยังต้องเลือกดื่มอย่างระมัดระวังด้วย เพราะอาจมีการเพิ่มโซเดียมลงไป ดังนั้นควรเลือกน้ำมะเขือเทศกล่องที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ไม่เช่นนั้นร่างกายเราอาจได้รับโซเดียมมากเกินไปทั้งจากในมะเขือเทศเอง และจากโซเดียมที่เติมเข้ามา ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต

ดื่มน้ำมะเขือเทศทำให้ผิวขาวได้จริงไหม ?

สาว ๆ ยุคนี้นิยมดื่มน้ำมะเขือเทศมากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผิวขาวได้ แต่จริง ๆ แล้วแค่บำรุงผิวพรรณให้ดีขึ้นเท่านั้นค่ะ โดยมีข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุไว้ว่า ในน้ำมะเขือเทศมีเบต้าแคโรทีน สารไลโคปีน และเม็ดสีส้มแดงของมะเขือเทศ เมื่อทานเข้าไปเป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน ๆ และมากเพียงพอ ก็ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูอมชมพูได้ แต่ไม่ใช่สีผิวที่แท้จริง และไม่ได้อยู่คงทนถาวร เพราะถ้าหากหยุดรับประทานไปเพียงแค่ 1 สัปดาห์ สีผิวเดิมของเราก็จะกลับมาแล้ว

ดังนั้น ข้อมูลที่อ้างว่า ดื่มน้ำมะเขือเทศแล้วทำให้ผิวคล้ำกลับมาขาวได้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดค่ะ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม